ปัจจุบันเราจะได้ยินคำว่า "ออร์แกนิค" กันจากผลิตภัณฑ์ต่างๆที่วางจำหน่ายในตลาด ทำไมต้องออร์แกนิคและมันมีประโยชน์อะไร??
"ออร์แกนิค" หากแปลตรงตัวจะหมายถึงสาขาวิชาเคมีที่ว่าด้วยเคมีอินทรีย์หรือการศึกษาที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงคำว่า ออร์แกนิค จะหมายถึงผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากพื้นฐานอันแท้จริงของธรรมชาติ โดยไม่มีการปนเปื้อนของสารสังเคราะห์ใดๆ ที่เกิดจากการประยุกต์เทคโนโลยีหรือสารเคมีใดๆ ซึ่งเป็นภัยร้ายที่แอบแฝงอยู่รอบๆตัวเราโดยที่คาดไม่ถึง ที่ผ่านมาออร์แกนิค มักจะถูกรวมเข้าไว้กับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ (Natural Products) ซึ่งนับเป็นความเข้าใจที่ผิดกับความจริงพอสมควร เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลิตผลจากผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติเท่านั้น
"ออร์แกนิค" คือ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ปลูกโดยวิธีทางการเกษตร ที่ปลูกโดยวิธีเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการปลูก ที่ควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนของสารเคมีในทุกขั้นตอนการผลิต ดังนั้นผู้ผลิตจะต้องมีการเตรียมดินและน้ำเป็นเวลาหลายปี เพื่อไม่ให้มีสิ่งปนเปื้อนหลงเหลืออยู่เลย นอกจากนั้นยังต้องใช้ปุ๋ยที่ทำจากธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีใดๆในการปลูก ผลิตภัณฑ์ ออร์แกนิคจะถูกควบคุมจนถึงขบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์โดยให้มีการเจือปนของสารเคมีน้อยที่สุดอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆตามสัดส่วนของวัตถุดิบและส่วนผสมซึ่งเกิดจากการเพาะปลูกด้วยกระบวนการออร์แกนิค นับตั้งแต่ 75-100% โดยการควบคุมและตรวจสอบมาตรฐานขององค์กรออร์แกนิคที่ได้รับการยอมรับ ด้วยกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันของผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจึงทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ ชนิดเดียวกันเพราะต้นทุนการผลิตที่สูงและข้อจำกัดในการควบคุมคุณภาพ จึงทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิต ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคได้ในปริมาณมากเช่นเดียวกับการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
มาตรฐานของการรับรองผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค
การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค จะเริ่มตรวจสอบตั้งแต่แหล่งเพาะปลูกวัตถุดิบวิธีการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การบรรจุหีบห่อ การขนส่ง กระบวนการในการนำไปใช้หรือการแปรรูป จนสุดท้ายคือผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จออกมา ซึ่งในแต่ละขั้น ตอนจะมีการรับรองมาตรฐานโดยองค์กรที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลแต่ละประเทศ ดังนั้นมาตรฐานออร์แกนิคจึงอาจแตกต่างกันไปใน แต่ละประเทศ การกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์เป็นออร์แกนิคนั้น จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีการรับรองจากสถาบันในแต่ละปรเทศเท่านั้น และจะ ต้องมีตราประทับบนฉลากอย่างชัดเจนว่าได้รับการรับรองจากประเทศใดหรือกลุ่มประเทศใด ผู้ผลิตไม่สามารถใช้คำว่า “ออร์แกนิค”บนฉลากสินค้าหรือการโฆษณาได้โดยไม่ได้รับการรับรอง
ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการใช้คำเพื่อบ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์เข้าเกณฑ์ออร์แกนิค ดังนี้
"Certified Organic" หมายความว่าในผลิตภัณฑ์นั้นๆใช้วัตถุดิบอย่างน้อย 95% ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นวัตถุดิบออร์แกนิค
"Made with organic ingredients"หมายถึงผลิตภัณฑ์นั้นๆใช้วัตถุดิบอย่างน้อย 70% ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นวัตถุดิบ
เครื่องสำอางออร์แกนิค จะต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ
พืชวัตถุดิบที่นำมาใช้จะต้องเพาะปลูกบนแปลงเกษตรที่ปราศจากสารเคมี กล่าวคือ ไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ บนพื้นที่ เพาะปลูกนั้นๆเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ก่อนที่จะสามารถปลูกพืชที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างสิ้นเชิงระหว่างการเพาะปลูกวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์จะต้องปราศจากสารเหล่านี้คือ สารสังเคราะห์ใดๆที่ใช้เพื่อรักษาอายุของผลิตภัณฑ์ให้ยาวนาน, รสชาติ สังเคราะห์, สีสังเคราะห์, น้ำมันที่สกัดจากแร่, สารเคมี, สารสกัดจากสัตว์, สารทำละลายทางเคมี หรือสารประกอบเคมีที่ สังเคราะห์ขึ้น
จุดเด่นของเครื่องสำอางออร์แกนิค
- ในเครื่องสำอางจะไม่มีสารเคมี หรือมีในปริมาณที่น้อยมากจนไม่มีผลต่อสุขภาพผู้ใช้
- ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือเกิดอาการแพ้ที่น้อยกว่าเครื่องสำอางปกติ
- สามารถใช้ได้บ่อยและต่อเนื่องเท่าที่ต้องการ เนื่องจากไม่มีสารตกค้างในร่างกาย
- เนื่องจากสารต่างๆที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอางจะซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด และก่อให้เกิดผลต่างๆภายใน ร่างกายได้ ดังนั้นเครื่องสำอางออร์แกนิคซึ่งปราศจากสารเคมีและสารก่อมะเร็งจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และ สามารถใช้เป็นส่วนช่วยในการบำบัดได้อีกด้วย
ทีนี้เราพอจะดูออกแล้วว่าผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่แท้จริงต้องพิจารณาจากอะไรบ้างก่อนที่จะซื้อมาใช้กันนะค่ะ